คลีนิคพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลทั่วไปในชุมชน
ในทางการแพทย์ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑.
ส่วนที่ต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์-แพทย์เท่านั้น
๒.ส่วนที่กระทำได้โดยบุคลากรทางการแพทย์การบำบัดที่ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์
ส่วนที่ต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์-แพทย์เท่านั้น
ก็คือ การวินิจฉัยโรค/อาการ
การใช้สารเคมี(ยา)กระทำต่อร่างกายและหัตการทางการแพทย์(การผ่าตัด,การฉีดสารเข้าร่างกายฯลฯ)
ส่วนที่กระทำได้โดยบุคลากรทางการแพทย์การบำบัดที่ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ได้แก่
การฝึกพูดบำบัด กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด
พฤติกรรมบำบัด การกระตุ้นพัฒนาการประสาทการรับรู้ระบบต่างๆ
(SI) โภชนากากรบำบัด ฯลฯ บุคลากรทำการบำบัดต่างๆ
เหล่านี้ ได้แก่ นักฝึกพูด นักกายภาพบำบัด
นักพฤติกรรมบำบัด/นักจิตวิทยาคลีนิก
[พวกนี้ส่วนใหญ่ก้จบมาทางคณะจิตวิทยา
คณะเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ]
กล่าวสำหรับบุคคลออทิสติก อันดับแรกเลยก้ต้องได้รับกรวินิจฉัยจากแพทย์
ว่าเป็น ออทิสติก จากนั้นก็จะต้องได้รับการติดตามจากแพทย์หากต้องมีการใช้ยา
หรือวิเคราะห์พฤติกรรม (รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ
เชนเดียวกับคนปกติ)
ส่วนความผิดปกติแบบกลุ่มอาการออทิซึ่ม
ก็จะต้องไปรับการบำบัดกับนักบำบัดต่างๆ
ใน ส่วนที่กระทำได้โดยบุคลากรทางการแพทย์การบำบัดที่ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์
ได้แก่ การฝึกพูดบำบัด กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด
พฤติกรรมบำบัด การกระตุ้นพัฒนาการประสาทการรับรู้ระบบต่างๆ
(SI) โภชนากากรบำบัด ฯลฯ บุคลากรการบำบัดต่างๆ
เหล่านี้ ได้แก่ นักฝึกพูด นักกายภาพบำบัด
นักพฤติกรรมบำบัด/นักจิตวิทยาคลินิก
ฯลฯ
ช่วงอายุแรกเกิดถึงก่อนถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน
๐-๖ ปี เป้นช่วงอายุที่จะอยู่กับโรงพยาบาล-บ้าน-ชุมชน
และเป็นช่วงที่ ถ้ารู้ว่า เป็นออทิสติก
และสามารถกระตุ้นพัฒนาของระบบประสาทการรับรู้ต่างๆ
อย่างเข้มข้น และเก็บได้หมด ซึ่งในช่วงนี้จะเป้นการบำบัดล้วนๆ
เพราะชีวิตคนปกติก็ไม่มีเรื่องอื่น-เล่น
เป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นในช่วงอายุ ๐-๖ ปี/๐-๑๐
ปี ออทิสติก ๑. จะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์และอาจต้องได้รับยาเกี่ยวกับพฤติกรรม
เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว พฤติกรรมการนอน(ออทิสติกมีปัญหาเกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตในสมอง-ไม่นอนทั้งคืนติดต่อกันสองสามวันก็ยังได้
แต่คนดูแลคนเลี้ยงนี่แย่เลย)
ฯลฯ เป็นระยะตามความเหมาะสม
หรืออาจต้องได้รับยาประจำหากมีโรคประจำตัวอื่นๆ
เช่น โรคชัก โรคภูมิแพ้ เป้นต้น
รวมทั้งการเจ็บไข้ได้ป่วยอื่นๆ
เช่นเดียวกับคนปกติ ๒. ต้องได้รับการบำบัดกระตุ้นพัฒนาการของประสาทการรับรู้ระบบต่างๆ
กระตุ้นการเชื่อมโยงการทำงานของสมองพื้นที่ต่างๆ
ด้วยกิจกรรมการบำบัดทางการแพทย์ที่กระทำโดยนักบำบัดต่างๆ
ที่ไม่ใช่แพทย์
ฉะนั้น ณ วันนี้ เราแม้ไม่รุสาเหตุที่แน่นอน
แต่เราก็รู้ที่สำคัญๆ เกี่ยวกับออทิสติก
จนสามารถจะสังเคราะห์ "ระบบจัดการ"
ด้านต่างได้ครบทุกด้านแล้ว(ตามแผนที่ชีวิตบุคคลออทิสิตก)
แต่ต้องเป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์
ที่สำคัญ ๐-๖ ปี หรือ ๐-๑๐ ปีแรกของมนุษย์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ออทิสติก
เป็นวัยทองของพัฒนาการ ที่หากผ่านไปแล้วก็แล้วเลยไม่หวนคืน
ช่วงนี้เป้นช่วงที่ดีที่สุดของการแทรกแซงพัฒนาการ
ซึ่งมันไม่มีอะไรมากเลย ก็คือ
การกระตุ้นพัฒนาการของประสาทการรับรู้ระบบต่างๆ
กระตุ้นการเชื่อมโยงการทำงานของสมองพื้นที่ต่างๆ
ด้วยกิจกรรมการบำบัดทางการแพทย์ที่กระทำโดยนักบำบัดต่างๆ
ที่ไม่ใช่แพทย์ นั่นเอง
แต่การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในส่วนของผู้ประกอบวิชีพแพทย์และผู้ประกอบวิชาชีพนักบำบัด
จะต้องกระทำการในบริบทของ "คลินิกในสถานพยาบาล/โรงพยาบาล"
ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดหรือภายใต้การกำกับดุแลของกระทรวงสาธารณสุข
จึงเป็นภาระงาน-หน้าที่โดยตรงของกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องจัดให้มีขึ้นซึ่ง
"คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลชุมชน"
ที่มี "คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลศูนย์ฯ"
"คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลจังหวัด"
เป็นแม่ข่าย และมี "คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลจิตเวช"
เป็นที่ปรึกษา
@กระทรวงสาธารณสุขจึงควรจะต้องเร่งจัดให้มีขึ้นซึ่ง
"คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลชุมชน"
[ที่มี "คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลศูนย์ฯ"
/"คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลจังหวัด"
เป็นแม่ข่าย และมี "คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลจิตเวช"
เป็นที่ปรึกษา] ขึ้นโดยเร็ว เพราะในช่วงอายุ ๐-๖
ปีก่อนเกณ์เข้าโรงเรียน การกระตุ้นพัฒนาการของประสาทการรับรู้ระบบต่างๆ
สำคัญมาก และบุคลากรที่จะต้องทำหน้าที่ให้บริการทางการแพทย์การำบัดแก่ประชากรออทิสติกในวัยนี้
(๐-๖ ปี) นั้นล้วนทำงานอยู่ในสถานพยาบาล/โรงพยาบาล/อนามัยตำบล
แต่เพราะยังไม่มีการกำหนดภาระงานที่เฉพาะเจาะจงและกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงขึ้นมา
จึงยังไม่บริการทางด้านการบำบัดแก่ประชากรออทิสติกอย่างเฉพาะเจาะจง
ประกอบกับนักบำบัดต่างๆ จะรวมศูนย์อยู่ตามโรงพยาบาลพยาบาลใหญ่ๆ
เกือบทั้งหมดของประชากรออทิสติกในวัยนี้จึงตกหล่นพัฒนาในวัยทองนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
มีเป็นส่วนน้อยที่เข้าถึงบริการของนักบำบัด
แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
เช่น นักปรับพฤติกรรม(นักจิตวิทยาคลินิก)
ชม, ละ ๕๐๐ บาท นักกิจกรรมบำบัดสำนักฟอล์ไทม์
ชม.ละ ๑,๒๐๐ บาท นักฝึกพูดบำบัด ชม., ๓๐๐-๕๐๐ บาท ฯลฯ
ทั้งนี้โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหาหมอหานักบำบัด
กระทรวงสาธารณสุข จึงควรต้องกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องจัดให้มีขึ้นซึ่ง
"คลินิกพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลชุมชน"
โดยเร็ว
***สิ่งที่บุคคลออทิสติกและครอบครัวต้องการจาก
"คลีนิคพิเศษออทิสติกในโรงพยาบาลทั่วไปในชุมชน"
คือ อะไรบ้าง ตอบตรงนี้ได้ก็ออกแบบองค์ประกอบของคลินิกพิเศษนี้ได้อย่างที่สามารถสนองตอบต่อคงามต้องการจำเป็นพิเศษของกลุ่มออทิสติกได้
@ช่วงอายุ ๐-๖ ปี ๑. การวินิจฉัยโรค/การใช้ยา-หัตการทางการแพทย์
(โดยแพทย์) ๒.การประเมินระดับพัฒนาการของประสาทการรับรู้ระบบต่างๆ
(โดยนักบำบัด) ๓.ข้อเสนอแนะว่าควรกระตุ้นพัฒนาการของประสาทการรับรู้ระบบใดก่อน-ระบบใดบ้าง
๔. แผนการจัดกิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการในข้อ
๓
@ช่วงอายุ ๓-๖ ปี อาจจะมีที่เอาเข้าสถานอนุบาลเด็กอ่อนหรือโรงเรียนอนุบาล
ตรงนี้จะคาบเกี่ยวทับซ้อนกันระหว่างกิจกรรมการบำบัดทาการแพทย์กับกิจกรรมการเรียนการสอนทางการศึกษา
แต่น้ำหนักจะเอียงมาทางด้านการบำบัด
ที่ต้องการคือ แผนการจัดกิจกรรมการบำบัดเพื่อการกระตุ้นพัฒนาการของประสาทการรับรู้ระบบต่างๆ
ที่เข้ากันได้กับบริบทของโรงเรียนอนุบาล
-หรือบริบทของ "ห้องเรียนคู่ขนานออทิสติกในโรงเรียนทั่วไปในชุมชนใกล้บ้านผระดับอนุบาล)"
@ช่วงอายุ ๖-๑๙ ปี ช่วงนี้ บุคคลออทิสติกจะอยู่ในระบบโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ถ้า...ถ้า
"กลไก" ตามออทิสิตกโรดแมบอีกกลไกหนึ่งได้ถูกบรรจุเข้าไปในโครงสร้างระบบการศึกษาของรัฐ-สังคมไทย
นั่นคือ ห้องเรียน ๒ รูปแบบ**** ห้องเรียนคู่ขนานออทิสติกและห้องเรียนสอนเสริมการศึกษาพิเศษในโรงเรียนทั่วไปในชุมชนใกล้บ้าน****ช่วงนี้บุคคลออทิสติกก็เช่นเดียวกับบุคคลปกติ
คือ ใช้ชีวิตอยู่ระหว่างบ้าน/โรงเรียน/ชุมชน....กิจกรรมเพื่อการยกระดับศักยภาพและคุณภาพชีวิตของบุคคลออทิสติกในช่วงนี้ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้นเพราะมีหลายบริบทเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซึ่งจากประสบการณ์ตรงจากผุ้ปกครองบุคคลออทิสติกในกลุ่ม
สิ่งที่ต้องการจากสถานพยาบาลระดับโรงพยาบาล....คือ....
๑. ในส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์
|